การ Drip หรือ Pour Over ทำอย่างไร และมีปัจจัยอะไรบ้าง
การ Drip หรือ Pour Over คือ
การเทน้ำร้อนบนกาแฟผ่านตัวกรองสกัดลงมาเป็นน้ำกาแฟที่แสนอร่อย สามารถกำหนดรสชาติ ปริมาณของกาแฟได้เอง และสามารถทำการ Drip กาแฟได้แทบจะทุกที่ที่เราอยากทำ โดยอุปกรณ์นั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือน Espresso Machine แล้วก็ไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะแยะมากมาย
อุปกรณ์
1.เครื่องบดมือ (Hand Grinder Coffee) ซึ่งมีหลากหลายยี่ห้อให้เราเลือกใช้ ตั้งแต่ขนาด 15 กรัมขึ้นไป ขนาดขึ้นอยู่กับโถบรรจุกาแฟยิ่งเยอะยิ่งมีขนาดที่ใหญ่และใช้เวลาในการบดนานขึ้น(บางทีกล้ามอาจจะขึ้นกันเลยทีเดียว ออกกำลังกายไปให้ตัว) แต่ละยี่ห้อก็จะใช้วัสดุที่มาทำเฟืองบดที่ต่างกันไปมีตั้งแต่ Ceramic Burrs, Stainless Steel Burrs , Nitro Blade Burrs , Carbon Steel Burrs เป็นต้น ซึ่งวัสดุที่ใช้มาทำเฟืองบดก็จะมาพร้อมกับราคาที่สูง โดยเฉพาะ Nitro Blade น่าจะเป็นที่รู้จักหรือเครื่องบดมือในดวงใจของเหล่านัก Drip กาแฟ (ของมันต้องมี ฮ่าๆ ไว้มีโอกาสจะมาเล่าเครื่องบดที่เป็นไฟฟ้านะครับ)
2.ตัวกรองกาแฟ (Filter) ก็มีแยกอีก 3 ประเภท ซึ่งจะได้ รสชาติกาแฟที่ต่างกันไป มีดังนี้
2.1. Cotton Filter หรือ ฟิลเตอร์แบบผ้า เนื่องด้วยจากวัสดุเป็นผ้า จะไม่สามารถกรองน้ำมันของกาแฟได้หมดกาแฟที่ได้ก็จะมี Body หรือ ว่าหนักแน่นจากน้ำมันกาแฟที่ยังคงเหลืออยู่ในปาก อาจจะไม่เท่าตัวที่เป็น Stainless Steel Filter ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุลคลนะครับ สามารถใช้ได้หลายครั้งแต่เวลาล้างก็จะยุ่งยากเพราะจะมีผงกาแฟเล็กๆเกาะที่ฟิลเตอร์ และห้ามซักกับผลิตภัณฑ์ซักผ้าหรือล้างจานโดยขาดนะครับ เพราะครั้งหน้าที่เราดริปกาแฟอาจจะได้ Flavor ที่เป็น ดอกไม้หรือเลม่อน ที่ชัดเจนขึ้น (น้ำยาล้างจาน) ฮ่าๆ การเก็บรักษาก็ควรตากในที่ที่ไม่อับชืนเพราะจะทำให้ขึ้นราได้
2.2 Stainless Steel Filter หรือ ฟิลเตอร์สแตนเลส คุณสมบัติของมันจะไม่ดูดซับอะไรอยู่แล้ว สิ่งที่ได้มาให้น้ำกาแฟก็จะมากกว่า ฟิลเตอร์ผ้าอย่างแน่นวลซึ่งจะไม่เปลืองที่จะต้องซื้อบ่อยและง่ายต่อการล้างทำความสะอาด แต่ก็ห้ามให้น้ำยาใดๆล้างเลยจะดีกว่าหรือถ้าจะล้างก็ควรล้างน้ำเยอะๆจนหมั่นใจกว่าหมดแล้วจริงเพราะแก้วต่อไปที่เรา ดริปทานก็…นะ (เคยกินแก้วน้ำตามอาหารบางทื่ เพื่อนรินน้ำให้…อืมร้านนี้ดีจังเสริฟ์น้ำแช่มะนาวด้วยชื่นใจจัง แต่เพื่อนบอกว่า “เปล่านะ เราเทน้ำให้จากขวด >_< ผมเชื่อว่าหลายๆท่านคงเข้าใจผมนะ ฮ่าๆ)
2.3 Peper filter หรือ ฟิลเตอร์ที่เป็นกระดาษ คุณสมบัติกระดาษก็จะดูดซับน้ำมันได้เยอะที่สุดในบรรดาที่กล่าวมาขั้นต้น น้ำกาแฟที่ได้มาจะรู้สึกคลีนกว่าสะอาดกว่า ซึ่งฟิลเตอร์กระดาษนั้นจะได้รับคาแรคเตอร์กาแฟตัวนั้นๆ อย่างชัดเจน เพราะไม่มีน้ำมันกาแฟที่มาเคลือบอยู่บนลิ้นของเรา ทำให้จับรสชาติเปรี้ยวหรือหวานที่สดชื่นกว่า ฟิลเตอร์ 2 ตัวนั้น ซึ่งฟิลเตอร์กระดาษมีให้เลือกซื้อมากมายหลายยี่ห้อ ทั้งขนาดกี่แก้ว ทั้งสีน้ำตาลสีขาว ทั้งหลายรูปทรงของDripper ความหนาหรือบางของกระดาษ (ก็จะมีผลต่อการสกัดกาแฟทั้งสิ้นครับ)
3.PourOver Kettle หรือ กาต้มน้ำกาแฟดริป เป็น กาที่เหมาะต่อการเทน้ำลงใน Dripper เพราะการออกแบบปากของกาน้ำนั้นจะออกแบบคอมาให้สามารถควบคุมการไหลของเส้นน้ำทั้งเส้นที่เล็กหรือเส้นที่ใหญ่ได้(ซึ่งมีผลต่อการสกัดกาแฟ) มีตั้งแต่รุ่นแบบต้มน้ำได้บนเตาแก็สหรือเตาไฟฟ้าหรือเป็นแท่งที่สามารถต้มและตั้งอุณหภูมิน้ำร้อนที่เราเลือกได้เลยสะดวกต่อการใช้งานมากในร้านที่เสริฟ์กาแฟดริป
4.Scale/Timer หรือ เครื่องชั่งน้ำหนัก/ตัวจับเวลา เป็นของที่จำเป็นมากๆในการใช้ทำกาแฟดริป เพราะเป็นตัวกำหนด Ratio ระหว่างน้ำกับผงกาแฟ ส่วน Timer จะใช้จับเวลาตั้งแต่ช่วง Bloom(เพื่อคายแก็ส) เวลาลงน้ำในแต่ละช่วงไปจนจบการดริป ปัจจุบันนี้มีหลายยี่ห้อมากที่ออกแบบมาสำหรับใช้กันกาแฟโดยตรงเลยจะมีทั้งสามารถชั่งน้ำหนักและนาฬิกาจับเวลาในตัวเลย บางรุ่นเป็นแบบสมาร์ทที่สามารถต่อเข้ากับแอพฯในมือถือเพื่อบันทึกเป็นโปรไฟล์ได้เลยและส่วนใหญ่จะกันน้ำได้
5. Dripper หรือ กรวยดริป ในปัจจุบันมีมากมายหลายแบบ,หลายรูปทรง,ซึ่งก็จะทำให้เมล็ดกาแฟตัวเดียวกันแต่ให้รสชาติที่ต่างกันไป ตามรูปทรงของDripperนั้นๆ มีทั้งหมด 3 รูปทรง ดังนี้
- ทรงกรวย (Cone)
- ทรงคางหมู (Trapezoid)
- ทรงกระบอกหรือตระกร้า (Cylindrical, Basket)
และก็จะมีอีกปัจจัยหนึ่งของตัว Dripper คือ (Flow Rate) ร่องหรือช่องต่างๆที่ออกแบบมาภายในตัว Dripper นั้นๆ มีผลต่อการสกัด กาแฟ(Extraction) การไหลของน้ำผ่านผงกาแฟในDripper บางรุ่นอาจจะออกแบบมาเพื่อให้กาแฟมี Body มากขึ้นโดย Flow Rate จะทำให้น้ำกาแฟไหลออกมาช้าเพื่อที่จะให้กาแฟมี Body ที่มากขึ้น(บดละเอียดไปอาจจะ Over Extraction) ส่วนบางตัว Flow Rate จะทำให้น้ำไหลผ่านผงกาแฟเร็วก็จะได้กาแฟที่มีความ Body ที่ดื่มได้ง่ายสำหรับคนที่ไม่ชอบดื่มกาแฟที่หนักจนเกินไป(บดหยาบไปอาจจะ Under Extraction)แต่ก็จะมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย
ปัจจัยในการสกัดกาแฟ(Extraction)
- Grind size หรือ ขนาดเบอร์บด – ซึ่งผงกาแฟที่เล็กกว่าจะสกัดออกมาได้ง่ายกว่าผงกาแฟที่ใหญ่ อาจจะต้องดูตัว Dripper ตัวนั้นกว่า Flow Rate เร็วหรือช้า
- Temperature หรือ อุณหภูมิน้ำร้อนที่ใช้ดริป – การเลือกอุณหภูมิน้ำที่ใช้ในการดริป ถ้าเราใช้อุณหภูมิที่สูงอาจจะทำให้กาแฟเราขมได้และต้องดู ( Flow Rate>Grind size)
- Tubulent หรือ การวนน้ำหรือกวน เพื่อในการสกัดกาแฟ – การเทวนน้ำจาก Kettle เส้นน้ำที่เล็กกับเส้นน้ำที่ใหญ่ การเทน้ำวนจากข้างในออกข้างนอก หรือ เทน้ำจากข้างนอกเข้ามาใน ก็จะสกัดต่างกัน ( Flow Rate>Grind size>Temperature ) จริงๆจะมีช่วงเรียกเปรี้ยวเรียกหวานของกาแฟด้วยนะ^^
- Time หรือ เวลาที่เราใช้ในการสกัด – เวลาเป็นตัวกำหนดการเทน้ำแต่ละช่วงเวลาไปจนจบการดริป ซึ่งจะเป็นตัวที่แก้ไขหรือนำไปเป็นโปรไฟล์ในครั้งหน้าได้ เช่น กาแฟตัวนี้ ( Flow Rate>Grind size>Temperature>Tubulent ) เท่านี้จบเวลาที่ 3.15 นาทีแล้วเกิดความขม ครั้งหน้าเราลองจบที่ 3.00 นาทีแล้วชิมดูใหม่ถ้าไม่ขม ก็นำโปรไฟล์การดริปในครั้งนี้มาใช้ได้ใหม่อีกครั้ง
- Ratio หรือ สัดส่วนของกาแฟและน้ำ – จะเป็นตัวกำหนดความเข้มข้นของน้ำกาแฟ เช่น 1;15 (กาแฟ 18 กรัม น้ำ 270 ml) เราจะได้น้ำกาแฟที่ไม่หนักมาก แต่ถ้าเราอยากจะกินดริปเย็นเราจะต้องเปลี่ยน Ratio เป็น 1: 10 หรือ 1:12 เพื่อที่จะใส่น้ำแข็งไปด้วยเราจึงต้องดริปกาแฟให้มีความเข้มข้นมากขึ้น เพราะถ้าน้ำมากกว่ากาแฟก็จะทำให้กาแฟแก้วนั้นของเราจะจืดไม่มีรสชาติได้ครับ
ลองนำไปปรับใช้กันดูนะครับ ส่วนตัวผมจะแนะนำว่า ( Flow Rate>Temperature>Tubulent>Time ) ให้ทำเหมือนเดิมแล้วไปเปลี่ยนที่ Grind size อย่างเดียวครับ ผงกาแฟที่เล็กจะได้โทนกาแฟที่หวานมากกว่า อยากได้กาแฟเปรี้ยวลองปรับให้ผงกาแฟหยาบขึ้นครับ ถ้าจะเปลี่ยนจริงๆให้ลองเปลี่ยนไปทีละปัจจัยนะครับ เราจะได้เห็นในสิ่งที่ผิดพลาดหรือความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน เพื่อที่จะพัฒนาและแก้ไขได้ในครั้งต่อๆไปนะครับ^^
ทดลองให้สนุก สนุกกับสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่ชอบ ชอบที่จะพัฒนาตัวเอง ผมว่ายังไงต้องมาดีแน่ครับ v^^v
ขอบคุณครับ By.Smith